สำหรับคำว่าครอบครัวแล้ว ความสมบูรณ์แบบคงเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจาก “ลูก” จิ๊กซอว์สำคัญที่ช่วยเติมเต็มความสุขให้กับชีวิตคู่ แต่ก็ใช่ว่าทุกครอบครัวจะสมปรารถนาดังที่หวัง โดยเฉพาะในปัจจุบัน ปัญหาคู่สมรสที่มีบุตรยากนั้นนับวันยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุสำคัญมาจากหลายปัจจัย ทั้งจากปัญหาร่างกาย ความเครียดจากการทำงาน และอายุที่มากขึ้นของคู่สมรส ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยต่อเติมความฝันของครอบครัวให้สมบูรณ์ได้ ด้วยการทำ IVF หรือ ที่เราทุกคนคุ้นหูกันดีว่า “เด็กหลอดแก้ว”
สภาวะแบบไหน ถึงเข้าข่าย “มีบุตรยาก”
พญ.นพรัตน์ ไชยบูรณะพันธ์กุล สูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา และเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลพญาไท 3 ได้อธิบายถึงภาวะของการมีบุตรยากว่า หมายถึง ภาวะที่คู่สามี-ภรรยาไม่สามารถมีบุตรได้ เมื่อมีเพศสัมพันธ์กันอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ได้คุมกำเนิดในระยะเวลาอย่างน้อย 12 เดือน ซึ่งพบได้ประมาณ 10-20% โดยภาวะมีบุตรยาก ยังสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภท คือ
- ชนิดปฐมภูมิ หมายถึง คู่ที่ยังไม่เคยมีลูกมาก่อนเลย
- ชนิดทุติยภูมิ หมายถึง คู่ที่เคยมีบุตรแล้ว แต่ไม่สามารถมีได้อีก
ทั้งนี้ ความสม่ำเสมอในการมีเพศสัมพันธ์นั้น ควรอยู่ในช่วง 2-3 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งหากไม่ได้คุมกำเนิด จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากถึง 50% ภายใน 5 เดือน และหากยังคงปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอโอกาสในการตั้งครรภ์ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่หากภายหลัง 1 ปีไปแล้ว ยังไม่ตั้งครรภ์ นั่นถือเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่าคู่สมรสคู่นั้นๆ กำลังประสบกับปัญหาภาวะการมีบุตรยาก
มีบุตรยาก เพราะใคร “ผู้ชาย” หรือ “ผู้หญิง”
น่าจะเป็นคำถามที่คู่ชีวิตหลายๆ คู่ มีความสงสัยเกิดขึ้นในจิตใจ ว่าการที่ทั้งสองไม่สามารถมีลูกได้นั้น สาเหตุเกิดมาจากใครกันแน่ เป็นความผิดปกติของฝ่ายชาย หรือ ฝ่ายหญิง ซึ่งแท้จริงแล้ว ภาวะมีบุตรยากนั้น อาจไม่ได้เกิดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่อาจเกิดจากความผิดปกติที่ทั้ง 2 คนมีร่วมกันก็ได้ โดยเราสามารถ จำแนกถึงสาเหตุหลักๆ ของภาวะมีบุตรยากได้ ดังนี้
- ฝ่ายหญิงมีความผิดปกติ โดยอาจมีภาวะไข่ไม่ตก ท่อรังไข่อุดตัน เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ มีพังผืดในช่องเชิงกราน หรือที่ปีกมดลูก มีเนื้องอกในมดลูก เป็นต้น
- ฝ่ายชายมีความผิดปกติ โดยเชื้ออสุจิอาจมีปริมาณน้อยเกินไป อ่อนแอ มีรูปร่างที่ไม่สมบูรณ์ หรืออาจมีภาวะเป็นหมัน ถึงขั้นอาจไม่มีเชื้ออสุจิ
- ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใดทั้งชายและหญิง แต่ประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก โดยอาจเป็นเพราะภาวะการเจริญพันธุ์ของทั้งคู่ต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งพบว่ามีถึงกว่าร้อยละ 15 ของคู่สมรสภาวะมีบุตรยากที่ไม่ทราบสาเหตุ
อย่างไรก็ดี พญ.นพรัตน์ ไชยบูรณะพันธ์กุล สูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา และเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลพญาไท 3 แนะนำให้คู่สมรสทุกคู่ ที่สงสัยว่าคู่ของตนกำลังตกอยู่ในภาวะมีบุตรยากหรือไม่ เข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ เพื่อหาถึงสาเหตุที่แน่ชัด ซึ่งจะนำไปสู่แนวทางของการแก้ไขปัญหาต่อไป
ตรวจอย่างไร ถึงรู้ว่า “มีบุตรยาก”
เมื่อคู่สมรสเกิดความสงสัยในภาวะมีบุตรยาก และตัดสินใจเข้ารับคำแนะนำจากแพทย์ ในเบื้องต้น ศูนย์รักษาภาวะมีบุตรยาก โรงพยาบาลพญาไท 3 มีแนวทางการตรวจวินิจฉัย คือ
- ทำการสอบถามประวัติทางการแพทย์ของทั้งสองฝ่าย เช่น ประวัติการมีประจำเดือนในฝ่ายหญิง ประวัติเจ็บป่วยต่างๆ ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ ประวัติครอบครัว
- ทำการตรวจร่างกายทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง รวมทั้งการตรวจภายในฝ่ายหญิง ว่ามีความผิดปกติเบื้องต้นหรือไม่
- ทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อค้นหาสาเหตุเพิ่มเติมตามสิ่งที่แพทย์ตรวจพบและดุลยพินิจของแพทย์ โดยจำแนกการการตรวจแบ่งเป็น ชาย – หญิง ดังนี้
แนวทางการตรวจทางห้องปฏิบัติการฝ่ายชาย- ตรวจความสมบูรณ์ของเชื้ออสุจิในฝ่ายชาย ซึ่งควรงดการหลั่งก่อนวันตรวจอย่างน้อย 2 วัน
- ตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมนเพศชาย
- ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
แนวทางการตรวจทางห้องปฏิบัติการฝ่ายหญิง- ตรวจภายใน เพื่อหาความผิดปกติของระบบอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
- ตรวจความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ และการทำงานของรังไข่ โดยดูจากระดับฮอร์โมนเพศหญิง
- ตรวจอัลตราซาวด์อุ้งเชิงกราน เพื่อดูลักษณะความเหมาะสมหรือผิดปกติของ มดลูก และรังไข่
ปัญหาภาวะมีบุตรยาก เป็นเรื่องที่แก้ไขได้ เพียงแต่เราจำเป็นต้องหาสาเหตุที่แน่ชัดให้พบ ดังนั้น การเข้ารับการตรวจสภาพร่างกายทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง จึงเป็นก้าวแรกของทางออกที่สำคัญ ที่จะทำให้ความฝันในการมีบุตรของทุกคู่เป็นความจริงขึ้นมาได้
เทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่อ “ผู้มีบุตรยาก”
เมื่อคู่สามี-ภรรยานั้นได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะมีบุตรยาก แพทย์ที่ทำการดูแลจะมีการประเมินเพื่อหาสาเหตุ และวางแผนการรักษา ซึ่งเทคโนโลยีการช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้บ่อยในปัจจุบันมี 3 วิธี ได้แก่
- การผสมเทียม IUI (Intra-uterine insemination) คือการฉีดเชื้ออสุจิที่ผ่านกระบวนการเตรียมตัวเข้าสู่โพรงมดลูกโดยตรง ในช่วงเวลาที่มีการตกไข่ เพื่อให้อสุจิและไข่ได้ทำการปฎิสนธิกันเองภายในร่างกาย โดยแพทย์จะเลือกใช้วิธีนี้ในกรณีที่ฝ่ายชายควรจะมีตัวอสุจิที่เคลื่อนไหวดีมากกว่า 10 ล้านตัว และฝ่ายหญิงต้องมีท่อนำไข่ปกติอย่างน้อย 1 ข้าง
- การทำเด็กหลอดแก้ว IVF (In Vitro Fertilization) หรือการปฎิสนธิภายนอกร่างกาย เป็นกระบวนการรักษาที่จะนำเซลล์ไข่จากฝ่ายหญิง และเซลล์อสุจิจากฝ่ายชายมาปฎิสนธิกันภายนอกร่างกาย และทำการเลี้ยงตัวอ่อนอยู่ภายนอกร่างกายเป็นเวลา 3 – 5 วัน และคัดเลือกตัวอ่อนที่คุณภาพดี ย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก เพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัวต่อไป
- การทำกิ๊ฟ (Gamete Intra-Fallopian Transfer: GIFT) คือ การนำไข่และเชื้ออสุจิที่ได้จากคู่สมรส กลับไปใส่ที่ท่อนำไข่ของฝ่ายหญิง เพื่อเพิ่มโอกาสความสามารถในการปฏิสนธิที่บริเวณท่อนำไข่ และไข่ที่ผสมแล้ว เจริญเติบโตเป็นตัวอ่อน และเดินทางกลับไปฝังตัวที่โพรงมดลูกต่อไป ดังนั้นฝ่ายหญิงต้องมีท่อนำไข่ที่ปกติอย่างน้อย 1 ข้าง อัตราการตั้งครรภ์จากการทำกิ๊ฟแต่ละครั้งประมาณ 20-30% ขึ้นอยู่กับอายุฝ่ายหญิง (อายุน้อย ผลการรักษาดี กว่าอายุมาก), ความผิดปกติภายในอุ้งเชิงกรานฝ่ายหญิง, และความแข็งแรงของเชื้ออสุจิ
ในปัจจุบันกระบวนการทำ IVF นี้ ถือว่าเป็นวิธีที่มีอัตราการตั้งครรภ์สูง คือประมาณ 30 – 50% แต่อย่างไรก็ตามก็เป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อนและมีปัจจัยของความสำเร็จหลายๆอย่างที่ต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์อย่างเหมาะสม
IVF ทำอย่างไร? แก้ข้อสงสัยแบบเจาะลึก
การทำ IVF ( In Vitro Fertilization ) หรือเด็กหลอดแก้ว เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยทำให้คู่สมรสที่มีบุตรยาก สามารถมีบุตรได้ โดยเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเหลือภาวะการเจริญพันธุ์ที่ได้ผลดีกว่าการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยยา หรือการผ่าตัดแบบสมัยก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ผู้ป่วยถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดีว่ามีความเหมาะสมสำหรับวิธีการนั้นๆ การรักษาด้วย IVF นั้นได้มีการพัฒนาจนมาถึงจุดที่แพทย์สามารถเสนอให้เป็นทางเลือกแรกสำหรับการรักษาภาวะมีบุตรยากได้ เนื่องจากไม่มีสาเหตุใดที่เป็นข้อห้ามสำหรับการทำ ท้ายที่สุดแล้วการทำการรักษาด้วย IVF ยังเป็นเสมือนเครื่องมือในการตรวจวินิจฉัยสาเหตุของการมีบุตรยาก โดยจะช่วยให้สามารถมองเห็นกระบวนการเจริญเติบโตของตัวอ่อนแต่ละระยะได้เป็นอย่างดีที่สุดด้วย
3 ขั้นตอน IVF Easy Steps to understand
พญ.นพรัตน์ ไชยบูรณะพันธ์กุล สูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา และเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลพญาไท 3 ได้สรุปหลักในการทำ IVF ให้เข้าใจง่ายได้ ด้วย 3 ขั้นตอนหลัก คือ
- นำไข่และเชื้ออสุจิมาปฏิสนธิกันภายนอกร่างกาย
- รอให้ตัวอ่อนเจริญเติบโตถึงให้แข็งแรงถึงระยะที่เหมาะสม
- นำตัวอ่อนที่ได้กลับเข้าไปฝังในโพรงมดลูก
ทั้งนี้ ในกระบวนการเชิงลึกของ 3 ขั้นตอนหลักข้างต้น จะมีส่วนสำคัญอยู่ที่ การเก็บไข่ของฝ่ายหญิง เหตุก็เพราะการทำ IVF เป็นการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย เชื้ออสุจิของฝ่ายชายไม่มีความยุ่งยากในการเรียกเก็บ หากแต่ไข่ของฝ่ายหญิงนั้น มีกระบวนการที่ซับซ้อนมากกว่า โดยสามารถอธิบายถึงขั้นตอนต่างๆของการเก็บไข่ ได้ดังนี้
การกระตุ้นไข่ : สามารถทำได้โดยการให้ Human chorionic gonadotropin (HCG) ซึ่งจะไปเหนี่ยวนำให้เกิดการสุกอย่างสมบูรณ์ของเซลล์ไข่ โดยจะทำการฉีด HCG ให้เมื่อไข่โตได้ขนาดที่ต้องการ และจะสามารถทำการเจาะไข่ได้ภายใน 34–36 ชั่วโมงหลังจากนั้น
การกระตุ้นไข่ตก : ปัจจุบันการเจาะไข่ทางช่องคลอดร่วมกับการทำอัลตราซาวด์นั้น เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และช่วยให้สามารถเก็บเอาเซลล์ไข่ออกมาได้มากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการอื่นๆ เนื่องจากจำนวนครั้งที่ใช้เข็มเจาะผ่านเข้าไปในผิวรังไข่น้อยกว่า ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและปริมาณการเสียเลือดจากผิวรังไข่ที่ไหลออกมาสู่ช่องท้องได้มากกว่า
การตรวจอัลตราซาวด์: วิธีการหลักในการตรวจติดตามการเจริญเติบโตของไข่นั้นทำได้โดยการตรวจอัลตราซาวด์ การตรวจอัลตราซาวด์ในครั้งแรกนั้นจะกระทำภายหลังจากเริ่มฉีดยากระตุ้นไข่ไปแล้ว 7 วัน และจะทำการตรวจซ้ำขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งในแต่ละครั้งที่ทำการตรวจ แพทย์จะตรวจดูรังไข่ทั้งสองข้าง รวมทั้งมดลูกและจำนวนของไข่ในรังไข่แต่ละข้างก็จะถูกตรวจสอบและวัดขนาดอย่างละเอียด
การเจาะเก็บไข่ : เมื่อจะเริ่มทำการเจาะเก็บไข่ จะมีการใช้ยาระงับความรู้สึกชนิดฉีดเข้าเส้นเลือดเพื่อให้หลับไปเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะทำการเจาะ แพทย์จะทำการตรวจอัลตราซาวด์ทางช่องคลอดเพื่อให้มองเห็นรังไข่และอวัยวะในอุ้งเชิงกรานในระหว่างการเจาะและใช้เข็มเจาะไข่เจาะผนังช่องคลอดเข้าไปยังรังไข่ จากนั้นจึงดูดเอาเซลล์ไข่ออกมาสู่หลอดทดลอง เซลล์ไข่จะถูกนำออกมาทำความสะอาดในน้ำยาสำหรับเพาะเลี้ยง และจะถูกนำไปเก็บไว้ในตู้อบที่จะช่วยรักษาอุณหภูมิให้คงที่ที่ 37 องศาเซลเซียสตลอดเวลา การเจาะไข่ผ่านทางช่องคลอดนั้นเป็นวิธีการที่ปลอดภัย ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใดและสามารถตื่นฟื้นคืนสติได้อย่างรวดเร็วหลังจากนั้น การเจาะไข่มักใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที และอาจนอนพักเป็นเวลาเพียงหนึ่งถึงสองชั่วโมงก่อนกลับบ้านในวันนั้น การเก็บตัวอย่างเชื้ออสุจิ สามีของผู้ป่วยจะถูกขอให้ทำการเก็บตัวอย่างเชื้ออสุจิให้ ซึ่งจะกระทำในวันเดียวกับการเจาะไข่ น้ำอสุจิที่หลั่งออกมาได้จะถูกเก็บไว้ในภาชนะพลาสติกที่ไม่เป็นพิษต่ออสุจิและสะอาดปราศจากเชื้อโรค ตัวอย่างอสุจิที่เก็บได้จะถูกนำไปวิเคราะห์ก่อนนำไปเตรียมเพื่อการทำ IVF การเตรียมอสุจินั้นปัจจุบันสามารถทำได้หลายวิธี แต่ทุกวิธีมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ คัดกรองเอาน้ำอสุจิ ส่วนประกอบทางเคมี ตัวอสุจิที่ตายและผิดปกติ และเซลล์อื่นๆออกไปให้หมด ซึ่งจะคงเหลือไว้เพียงตัวอสุจิที่ปกติ มีชีวิต และเคลื่อนไหวได้ อยู่ในน้ำยาเพาะเลี้ยง
การให้ฮอร์โมน Progesterone เสริม : เพื่อป้องกันการสร้างฮอร์โมน Progesterone ไม่เพียงพอ จึงได้มีการให์ฮอร์โมน Progesterone เสริม โดยจะเริ่มให้ในตอนเย็นของวันที่ทำการเจาะเก็บไข่หรือในเช้าวันรุ่งขึ้น ยาที่ใช้โดยทั่วไปจะใช้เหน็บเข้าไปยังช่องคลอด ซึ่งยาจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดต่อไป การเหน็บยาฮอร์โมน Progesterone จะกระทำต่อเนื่องไปจนได้รับผลการตรวจการตั้งครรภ์ หากผลแสดงว่าไม่ตั้งครรภ์ก็จะหยุดการเหน็บยาได้ และรอบเดือนก็จะมาภายในสองสัปดาห์หลังจากนั้น แต่ถ้าหากผู้ป่วยตั้งครรภ์ ก็จะต้องทำการเหน็บยาต่อไปจนกระทั่งอายุครรภ์ได้ 12 สัปดาห์
ทั้งนี้ กระบวนการทำเด็กหลอดแก้วใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 4-6 สัปดาห์จึงจะสมบูรณ์ โดยหลังการย้ายตัวอ่อนเข้าโพรงมดลูกประมาณ 2 สัปดาห์แพทย์จะนัดมาตรวจเลือดเพื่อทดสอบการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยกระบวนการ IVF ไม่ได้สามารถทำให้ตั้งครรภ์ได้ในอัตราสำเร็จเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังต้องขึ้นอยู่กับอีกหลายๆ ปัจจัย อาทิ ความแข็งแรงของเชื้ออสุจิ ความผิดปกติของท่อนำไข่ และลักษณะของอุ้งเชิงกรานในฝ่ายหญิง เป็นต้น
ผู้ป่วยแบบไหน เหมาะกับ IVF
ผู้ที่เหมาะสมจะรับการรักษาด้วยวิธิการนี้ ได้แก่ผู้ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์มานานกว่าสองปี และควรตัดสินใจเข้ารับการรักษา ก่อนที่อายุของฝ่ายหญิงจะกลายมาเป็นอุปสรรคต่อการรักษาได้ ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องใช้เทคนิคอื่นๆร่วมด้วย เช่นในรายที่ไม่มีอสุจิจากการหลั่งปกติอาจต้องทำการผ่าตัดชิ้นเนื้อจากอัณฑะ เพื่อนำตัวอสุจิจากเนื้อเยื่อที่ได้มาทำการปฏิสนธิกับไข่ หรือในรายที่มีจำนวนอสุจิน้อยมาก อาจต้องทำการช่วยปฏิสนธิร่วมด้วย เป็นต้น
ปัจจุบันเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไปว่าการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยการทำ IVF และเทคโนโลยีช่วยเหลือการเจริญพันธุ์ต่างๆนั้น ได้ผลดีมากกว่าการรักษาด้วยยา หรือการผ่าตัดแบบสมัยก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ผู้ป่วยถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดีว่ามีความเหมาะสมสำหรับวิธีการนั้นๆ การรักษาด้วย IVF นั้นได้มีการพัฒนาจนมาถึงจุดที่แพทย์สามารถเสนอให้เป็นทางเลือกแรกสำหรับการรักษาภาวะมีบุตรยากได้ เนื่องจากไม่มีสาเหตุใดที่เป็นข้อห้ามสำหรับการทำ ท้ายที่สุดแล้วการทำการรักษาด้วย IVF ยังเป็นเสมือนเครื่องมือในการตรวจวินิจฉัยสาเหตุของการมีบุตรยาก โดยจะช่วยให้สามารถมองเห็นกระบวนการเจริญเติบโตของตัวอ่อนแต่ละระยะได้เป็นอย่างดีที่สุดด้วย ดังนั้นจึงไม่เป็นเรื่องแปลกหากจะตรวจพบปัญหาที่ไม่ได้คาดหวังไว้ระหว่างการทำการรักษาด้วย IVF
คู่สมรสที่เหมาะกับการรักษาด้วยวิธี IVFได้แก่
- ฝ่ายหญิงมีความผิดปกติของท่อนำไข่ตีบหรือตันทั้งสองข้าง
- ฝ่ายหญิงมีพังผืดในอุ้งเชิงกรานมาก และรักษาด้วยการผ่าตัดแล้วไม่ได้ผล
- ฝ่ายหญิงมีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ และรักษาภาวะนี้แล้วด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
- เชื้ออสุจิฝ่ายชายคุณภาพไม่ดี ซึ่งรักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้
- ภาวะมีบุตรยากที่ไม่ทราบสาเหตุ
ผลสำเร็จในการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธี IVF ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ อายุของฝ่ายหญิง คุณภาพของไข่ จำนวนของอสุจิ ทารกที่เกิดมานั้นอาจมีโอกาสเกิดความพิการไม่แตกต่างจากการตั้งครรภ์ธรรมชาติ ถึงแม้กระบวนการทำ IVF นี้ ถือว่าเป็นวิธีที่มีอัตราการตั้งครรภ์สูง แต่อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจากรักษาเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยและต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์อย่างเหมาะสม
ที่มา