เตือนข้าราชการ อย่าทุจริต คอรัปชั่น มิฉะนั้นจะเป็นคนโกงชาติ ทำลายชาติ นำความอับอายต่อชื่อเสียงประเทศ
นำเสนอข่าวโดยทีมงาน www.legendnews.net
อย่าไหว้คนโกง
ป๋าเปรมย้ำต้านทุจริต
‘บิ๊กต๊อก’สั่ง‘ดีเอสไอ’
รื้อคดีทุจริต‘กรุงไทย’
เอาผิดฐานรับของโจร
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นประธานเปิดงาน“60ปี คณะรัฐประศาสนศาสตร์” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เมื่อวันที่ 2 กันยายน และ กล่าวปาฐกถาตอนหนึ่งว่า เมื่อ 60ปีที่แล้ว คนไทยมี 17 ล้านคน ปัจจุบันเพิ่มขึ้น 4 เท่า เป็น 67 ล้านคน เท่ากับว่าข้าราชการทั้งหลายเราต้องปรับปรุง พัฒนาการบริหารภาครัฐให้ดีที่สุด สอดคล้องกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น และปัญหาประชากรที่เพิ่มขึ้นจึงก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ประเทศของเราเรียกได้ว่าเป็นประเทศผู้นำของภูมิภาคเอเชีย แต่เมื่อถอยหลังไปอย่างน้อย 10 ปี ประเทศของเราโชคไม่ดีปัญหาเยอะ การพัฒนาก็ชะงักงัน และเราก็ถอยหลังไปอยู่ในลำดับหมายเลขที่ไม่น่าจะต้องอยู่ ตนเห็นว่ารัฐบาลที่เป็นผู้นำ จำเป็นต้องช่วยกันดึงความเป็นผู้นำภูมิภาคของเรากลับคืนมาให้ได้
“ประชานิยม”ทำคนอ่อนแอ
พล.อ.เปรม กล่าวอีกว่า เรื่องระบอบประชานิยมเป็นเรื่องที่มีปัญหาอย่างหนึ่ง ทำให้ประชาชนบางคนไม่คิดจะทำอะไรเอง คอยรับระบอบประชานิยม แล้วก็ทำให้ประเทศของเราและคนของเราอ่อนแอ ปัญหาคุณธรรมและจริยธรรม ค่านิยมในสังคม เปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ เด็กรุ่นใหม่บางคนและผู้ใหญ่อย่างน้อยหนึ่งคนพูดว่า การโกงไม่ใช่เรื่องเสียหายถ้าเราได้ประโยชน์ เป็นเรื่องที่ไม่ควรพูด และค่อนข้างจะทำให้คนเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าโกงก็ไม่เป็นไร คนที่พูดแบบนั้นเป็นคนที่พูดเพื่อประโยชน์ของตัวเองมากกว่าประโยชน์ส่วนร่วม เป็นเรื่องที่ไม่ยอมรับ
รณรงค์ย้ำเลิกไหว้คนโกง
ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ยังกล่าวด้วยว่า ปัญหาสุดท้ายคือเรื่องคอร์รัปชั่นหรือฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ นำความอับอายขายหน้ามาสู่ประเทศ เพราะฉะนั้นคนไทยทุกคนจะต้องช่วยกัน แม้เราจะมีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่ ป.ป.ช.ก็ไม่มีแรงมากพอที่จะทำ ฉะนั้นคนที่ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวงต้องช่วย ป.ป.ช.ปราบปรามเรื่องนี้วิธีทำที่จะช่วย ป.ป.ช. คือสอนคนไทยให้เข้าใจว่าคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาเลวร้ายที่สุด ขายหน้าที่สุด จะปล่อยปละละเลยไม่ได้ รวมทั้งต้องสอนให้คนรู้จักคุณธรรม จริยธรรม เราต้องเลิกเคารพนับถือคนคอร์รัปชั่น เลิกกราบไหว้คนฉ้อราษฎร์บังหลวง เลิกคบค้าสมาคมกับคนพวกนี้ ให้เขาเห็นว่าเป็นที่รังเกียจของคนไทยทุกคนที่ไม่โกงชาติบ้านเมือง
เตือนขรก.ทำงานอย่างสุจริต
“มีคนบางคน แบ่งการฉ้อราษฎณ์บังหลวง เป็นคอร์รัปชั่นเชิงอำนาจ กับคอร์รัปชั่นเชิงผลประโยชน์ แต่ผมเห็นว่าจะขยายความอย่างไรก็ตามคนที่คอร์รัปชั่นคือคนที่โกงชาติ คนที่คอร์รัปชั่นจะไม่ระวังการขายหน้า แต่เดินไปไหนคนก็ชี้หน้าว่าคนไทย คอร์รัปชั่นเก่ง เป็นการด่าเชิงชมบางคนเลื่อนยศ เลื่อนฐานะสูงขึ้นไม่ใช่เก่ง แต่เพราะใช้วิธีคอร์รัปชั่นเราต้องช่วยกันปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงในยุคของเรา ในชั่วชีวิตของเรา ในการบริหารประเทศ รัฐบาลเป็นผู้นำ ภาครัฐคอยเอื้ออำนวยกับธรุกิจภาคเอกชน ผมจึงใคร่ขอร้องว่าจะอยู่ในตำแหน่ง โปรดทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์ให้ตัวเอง วิธีทำที่เคยใช้มาและได้ผลมากคือเริ่มที่ตัวเราเองก่อน ประพฤติตนเป็นคนดี เห็นส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว การเป็นตัวอย่างที่ดีในการทำงาน”พล.อ.เปรม กล่าวในตอนท้าย
บิ๊กต๊อกสั่งคุ้ยคดีโกงกรุงไทย
วันเดียวกันบิ๊กต๊อก พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ตรวจสอบย้อนหลังไปยังสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงานอัยการสูงสุดถึงสำนวนคดีรับของโจร ซึ่งเป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกับการทุจริตปล่อยกู้เงินของธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้กับบริษัท กฤษดามหานคร เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ(คตส.)ส่งสำนวนคดีให้กับหน่วยงานใด หากคดีขาดอายุความต้องมีคนรับผิดชอบ เรื่องนี้ต้องรู้ให้ได้เพราะเกี่ยวพันกับหน่วยงานที่ตนรับผิดชอบ มันโยงกันไปหมด ดีเอสไอก็ยืนยันว่าสตง.ส่งเฉพาะคดีฟอกเงินมาเพียงคดีเดียวเท่านั้น
รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ในโลกนี้สสารหรือวัตถุพยานไม่มีทางสูญหายไปได้ จะไล่หาให้ว่าสำนวนคดีรับของโจรหายไหน เมื่อศาลตัดสินให้คดีทุจริตซึ่งเป็นข้อหาหลักมีความผิด จึงเป็นหน้าที่ต้องตรวจสอบว่าสินทรัพย์ถูกโอนต่อไปอยู่กับใครบ้าง เชื่อมโยงใครบ้าง
แจ๊คยื่นหนังสือถึงดีเอสไอ
ก่อนหน้านี้ วันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2558 นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึง นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่า
ตามที่ปรากฏศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาลงโทษจำคุก จำเลยในคดีที่ธนาคารกรุงไทย ปล่อยเงินกู้โดยมิชอบให้กับกลุ่มกฤษดานครเป็นเงิน 9,000 ล้านบาท ตามรายละเอียดเป็นที่ทราบโดยทั่วไปแล้วนั้น ปรากฏว่า พี่น้องประชาชนจำนวนมากต่างพากันคลางแคลงใจสงสัยการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นอันมากว่า เหตุใด ไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดี กับนายพานทองแท้ ชินวัตร กับพวกแต่ประการใด ทั้งๆ ที่มีเงินจากกลุ่มกฤษฎานคร ซึ่งได้รับประโยชน์จากการกู้เงินโดยมิชอบ จากธนาคารกรุงไทย ไหลเข้าบัญชีธนาคารส่วนตัวของนายพานทองแท้ ชินวัตร 17 ล้านบาท อันเข้าข่ายลักษณะความผิดฐานรับของโจร และความผิดฐานฟอกเงินได้ จึงขอให้ดีเอสไอตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ครบถ้วน
ผบ.ตร.เสนอถอดยศทักษิณ
อีกประเด็นหนึ่งเรื่องการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินถนนรัชดาภิเษกนั้น พล.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.กล่าวว่า หลังจากตนได้รับหนังสือตอบยืนยันจากคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของทางราชการ (สขร.) ว่า ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศ พ.ศ. 2547 ไม่จำเป็นที่จะต้องลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉะนั้นเมื่อได้รับข้อสรุปจาก สขร.เป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องสรุปเรื่องส่งให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอต่อนายกฯเพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยตนได้ส่งเรื่องไปยัง เลขาธิการ ครม.เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา ถือว่าหน้าที่ในส่วนของตนเรียบร้อยแล้ว
“เรื่องนี้ผ่านมาพอสมควร ประชาชน สังคม ผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ศึกษาได้ทำความเข้าใจกับเหตุผล และวิธีในการดำเนินการ ผมได้ทำทุกขั้นตอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว” ผบ.ตร.ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามถึงผลการพิจารณาถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณว่าเป็นอย่างไร พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า เป็นตามที่นายกฯแถลง เมื่อถามย้ำว่า ตกลงมีมติให้ถอดยศใช่หรือไม่ ผบ.ตร.ตอบว่า“ถอด”
วิษณุย้ำทำตามขึ้นตอน
ในเรื่องดังกล่าว นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าหาก สตช.ส่งเรื่องมาก็ไม่ต้องเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องส่งไปที่สำนักเลขาธิการ ครม.เพื่อตรวจสอบเอกสารถูกผิด ขั้นตอนต่างๆ แล้วเสนอให้นายกฯ เพื่อเซ็นลงนาม นำขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อโปรดเกล้าฯแล้วก็ประกาศราชกิจจานุเบกษาเพราะเป็นพระบรมราชโองการต้องลงประกาศ เรื่องนี้พยายามหาความชัดเจนไปมากแล้ว เริ่มจากการที่ให้คณะทำงานของกระทรวงยุติธรรมไปตรวจสอบให้ชัดเจน ทางตำรวจก็ได้สอบถามไปยังคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ คณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้เกิดความชัดเจน ดังนั้นเมื่อคำตอบมายันกันอย่างนี้สตช.ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องดำเนินการไป