น้องยังข้องใจ รอยสายไฟรัดคอ คดีอดีตพนักงานที่ดินวุ่น รอพฐ.ผ่าศพพี่ชายครั้ง 2ตร.อุบเงียบเหตุตับแตก “เหรียญทอง”ไม่หวั่นDSI
วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559 เรียบเรียงโดยทีมงาน www.legendnews.net
บานปลายหนัก ปม “อดีต จนท.ที่ดินพังงา” ตับแตกตากคาดีเอสไอ ตร.ทุ่งสองห้องเดินหน้าสอบน้องผู้ตายและ 3 จนท.ทีมกู้ชีพ รพ.มงกุฎวัฒนะ “พ.ต.อ.มานะ” ปัดฟันธงเหตุเสียชีวิตรอสอบพยานเพิ่ม รอผลชันสูตรศพ และผลตรวจหลักฐานอย่างเป็นทางการ ด้านน้องชายผู้ตายเชื่อตายผิดธรรมชาติ ชี้ใช้ถุงเท้าผูกคอตายแต่รอยแผลที่รอบคอมีลักษณะเล็กคล้ายสายไมค์ อัดกรมสอบสวนคดีพิเศษต้องพิจารณาตัวเอง ก่อนบุกจี้ ก.ยุติธรรมผ่าพิสูจน์รอบ 2 ขณะที่ปลัดยุติธรรมรับกำลังทาบทามบุคคลภายนอกร่วมเป็นคณะกรรมการสอบ ทางด้าน “ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ” โพสต์เฟซพร้อมยืดอกสู้ หากถูกดีเอสไอแจ้งความ กรณีชี้ ผตห.ถูกฆาตกรรมโดยมีคนในรู้เห็น ลั่น “ไม่หนีโทษ ไม่หนีคุก” ไม่ต้องระดมกำลังใจ หรือโล่มนุษย์เหมือน “ธัมมชโย”
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 5 ก.ย.59 พ.ต.อ.มานะ เผาะช่วย ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง กล่าวถึงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนการเสียชีวิตของ นายธวัชชัย อนุกุล อายุ 66 ปี ผู้ต้องหาคดีออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยมิชอบหลายแปลงใน จ.ภูเก็ต และพังงา เสียชีวิตภายในห้องคุมขังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ว่า การสืบสวนสอบสวนของตำรวจเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามมาตรา 150 ทุกประการ มีการทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ มีการรวบรวมพยานหลักฐานทุกอย่าง ขณะนี้ได้ดำเนินการมากว่า 5 วันแล้ว ตั้งแต่วันเกิดเหตุ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนยังไม่สามารถวินิจฉัยชี้ขาดได้ว่า เป็นการตายด้วยการฆ่าตัวตาย หรือมีคนทำให้ตาย ต้องอาศัยพยานหลักฐานอย่างอื่นๆ นำมาประกอบให้มากกว่านี้ เช่น เสื้อ ถุงเท้า ของนายธวัชชัย ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจดีเอ็นเอของสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ส่วนกรณีผู้เสียชีวิตตับแตก ต้องมีการขยายผลตรวจสอบอย่างละเอียดว่า ตับแตกเกิดขึ้นช่วงไหน อย่างไร เบื้องต้นมีการสอบปากคำไปแล้ว 3 ปาก ส่วนรายอื่นๆ อยู่ระหว่างทยอยให้ปากคำ
พ.ต.อ.มานะ กล่าวอีกว่า ส่วนการสอบพยานในคดีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบสวนผู้ทำหน้าที่ควบคุมตัวนายธวัชชัย ตั้งแต่วันแรก คือ นายสมมาตร นาควงศ์ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ควบคุมห้องขังวันเกิดเหตุ ซึ่งได้ให้การกับพนักงานสอบสวนว่า นายธวัชชัย ใช้ถุงเท้าผูกคอตัวเองกับบานพับของประตู แต่กลับไปรายงานกับผู้บังคับบัญชาของดีเอสไอว่า ใช้เสื้อยืดผูกคอเสียชีวิต ซึ่งการให้การลักษณะนี้ ไม่ถือว่าเป็นพิรุธ เนื่องจากนายสมมาตรอาจจะอยู่ระหว่างการตื่นตระหนก หรือหวาดกลัว จึงให้การสับสน เบื้องต้นดีเอสไอได้นำตัวนายสมมาตร ไปเข้าเครื่องจับเท็จแล้ว แต่ยังไม่ได้ส่งรายงานมาถึงพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง นอกจากนี้พนักงานสอบสวนยังต้องสอบสวนหัวหน้าชุดคุมขัง ผู้คุมขังคนแรก และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ อีกด้วย และวันนี้ในเวลา 14.00 น. จะเชิญนายชาญณรงค์ อนุกูล น้องชายของนายธวัชชัย และทีมแพทย์ฉุกเฉินของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ มาสอบปากคำที่ สน.ทุ่งสองห้อง ส่วนการตรวจสอบกล้องวงจรปิด อยู่ระหว่างประสานขอภาพจากดีเอสไอ เบื้องต้นไม่มีกล้องวงจรปิดในห้องควบคุม เนื่องจากเป็นการรักษาสิทธิผู้ถูกควบคุม แต่เชื่อมั่นว่า หากรายงานการตรวจศพทราบผลอย่างเป็นทางการ และได้ผลการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ จะทำให้คดีมีความชัดเจนมากขึ้น
ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ออกมาโพสต์เฟซบุ๊คถึงสาเหตุการเสียชีวิต โดยระบุว่ามาจากการฆาตกรรมนั้น ส่วนตัวตนยังไม่เห็นข้อความของ พล.ต.นพ.เหรียญทอง และมองว่าเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ยืนยันไม่ทำให้การสืบสวนสอบสวนของตำรวจเกิดปัญหา หรือเป็นการชี้นำแต่อย่างใด ส่วนจะเรียกมาให้ข้อมูลหรือไม่ ต้องพิจารณาอีกครั้ง ทั้งนี้ขอยืนยันว่าการสืบสวนสอบสวนของตำรวจไม่ได้ล่าช้า
ด้าน พล.ต.ต.ทรงพล วัธนะชัย รองโฆษก ตร. กล่าวว่า คดีนี้ดังกล่าวเป็นที่สนใจของประชาชน พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานตามที่สงสัยอย่างละเอียด เบื้องต้น ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง ได้วางไทม์ไลน์ไว้หมดแล้ว ขอให้เจ้าหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานอีกสักระยะหนึ่ง เพื่อความรอบคอบ และจะเรียนให้สื่อมวลชน ได้รับทราบอีกครั้งหนึ่ง
ต่อมาเวลา 11.00 น. ที่สน.ทุ่งสองห้อง นายชัยณรงค์ อนุกูล อายุ 63 ปี น้องชายของนายธวัชชัย อนุกูล อายุ 66 ปี อดีตเจ้าพนักงานที่ดิน จ.พังงา ที่ผูกคอตายขณะถูกควบคุมตัวที่ดีเอสไอ เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.กฤติเดช ชอบค้าขาย รอง สว.(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อให้ปากคำเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายธวัชชัย
นายชัยณรงค์ เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางเข้ามาพบพนักงานสอบสวนที่สน.ทุ่งสองห้อง แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าจะสอบสวนอะไรบ้าง หากจะสอบเรื่องส่วนตัวนั้น ตนก็ไม่สามารถชี้แจงได้ เนื่องจากตนและพี่ชายไม่ได้เจอกันมานาน แต่ยืนยันจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยังเชื่อว่าการตายของพี่ชายผิดธรรมชาติ เพราะอยู่ในหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ ซึ่งในวันนี้จะมีคำถามถึงดีเอสไอด้วย และกำหนดการในช่วงบ่าย ทางดีเอสไอ นัดไปพบ เพื่อให้ดูภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งก่อนหน้านี้หลังเกิดเหตุ ทางดีเอสไอได้ติดต่อมาให้ไปดูภาพวงจรปิด แต่เป็นภาพบริเวณทางเดินเท่านั้น เป็นการยืนยันว่าอาจจะไม่มีภาพกล้องวงจรปิด ส่วนจะมีหรือไม่มีภาพ ตนก็ไม่สามารถรู้ได้ และนัดให้ไปดูสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งตนยังไม่แน่ใจว่าจะไปทันตามนัดหรือไม่ เพราะตนมีภารกิจส่วนตัวที่จะต้องไปดำเนินการให้เรียบร้อย
นายชัยณรงค์ เปิดเผยอีกว่า ส่วนเรื่องการใช้ถุงเท้าผูกคอตายนั้น ตนมองว่าเป็นประเด็นสำคัญ เพราะหัวหน้างานและ รปภ.ให้การขัดแย้งกัน ไม่ทราบว่าขัดแย้งกันได้อย่างไร และอยากให้สังเกตรอยที่คอผู้ตายว่า เกิดจากผ้า ถุงเท้า หรืออะไรที่เล็กกว่า พร้อมยกตัวอย่างว่ารอยที่คอเล็กกว่าสายไมค์ ซึ่งสามารถตรวจพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ และหากมีการชันสูตรครั้งที่ 2 โดยมีแพทย์จาก รพ.รามาธิบดี และ รพ.ศิริราช โดยตนได้ร้องขอให้เพิ่มเจ้าหน้าที่จากนิติเวช รพ.ตำรวจด้วย
ต่อมาเวลา 13.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่พยาบาล รพ.มงกุฎวัฒนะ จำนวน 3 คน ได้เดินทางมาให้ปากคำพนักงานสอบสวนที่ สน.ทุ่งสองห้อง โดยมีพนักงานอัยการ และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าร่วมสอบปากคำด้วย
จากนั้นเวลา 13.30 น. นายชัยณรงค์ อนุกูล เปิดเผยภายหลังการสอบปากคำกว่า 2 ชั่วโมง ว่า ได้ให้ปากคำเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพี่ชาย ทั้งเรื่องการไปพบขณะอยู่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่โรงพยาบาล และการไปรับหนังสือจากนิติเวช ซึ่งตนติดใจในผลการชันสูตรศพ เพราะเห็นว่าผิดธรรมชาติ จะเป็นมาอย่างไรก็แล้วแต่ ตนก็ไม่อาจทราบได้ ทำให้ต้องมีการผ่าชันสูตรอีกครั้งโดยนิติวิทยาศาสตร์ของกระทรวงยุติธรรม ทั้งนี้ ก็จะต้องรอผลตรงนี้อีกครั้ง ตนข้องใจในการตายครั้งนี้ ไม่ว่ามีสาเหตุจากอะไร ตนมองว่าเจ้าของสถานที่ หน่วยงาน จะต้องพิจารณาดูด้วยว่าเกิดเหตุขึ้นได้อย่างไรในสถานที่ของท่าน หน่วยงานที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนคนไทยอีกหน่วยงานหนึ่ง แต่ทำไมถึงเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้อย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากผลการชันสูตรครั้งที่ 2 จากกระทรวงยุติธรรม ออกมาเป็นการฆ่าตัวตายจริง จะยอมรับผลหรือไม่ นายชัยณรงค์ กล่าวว่า ยอมรับ เพราะเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็ต้องนำผลทั้ง 2 ครั้งมาประกอบกัน แล้วให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินเรื่องไป ตนเข้าไปร่วมไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้ในทางนิติวิทยาศาสตร์ หลังจากนี้ตนจะเดินทางไปพบทนายก่อน จากนั้นดีเอสไอจะให้ตนไปดูสถานที่ และภาพวงจรปิด ซึ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่ตนไม่ดู เพราะรับแจ้งว่าดูได้เฉพาะทางเดินเท่านั้น จึงเห็นว่ามีเฉพาะทางเดินก็ไม่รู้จะไปดูอะไร ตนเชื่อว่าไม่ต้องร้องขอในการเข้าร่วมตรวจพิสูจน์ครั้งที่ 2 แต่ไม่แน่ใจว่า จะใจแข็งพอหรือไม่ที่จะสังเกตการณ์ผ่าพิสูจน์ ซึ่งตนได้ร้องขอให้ นิติเวช รพ.ตำรวจ และรพ.จุฬาลงกรณ์ ให้เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย นอกเหนือจากที่ดีเอสไอ แจ้งว่าจะมีแพทย์จาก รพ.รามาธิบดี และ รพ.ศิริราช
นายชัยณรงค์ เปิดเผยอีกด้วยว่า การสอบปากคำในครั้งนี้ ได้มอบใบแจ้งตาย พร้อมลงชื่อกำกับไว้มอบให้กับพนักงานสอบสวน ไม่มีการสอบสวนเรื่องอุปกรณ์ที่ทำให้พี่ชายตนเสียชีวิต หากถามตนก็คงตอบไม่ได้ ทั้งนี้ ตนไม่ได้ถามความคืบหน้าในคดี ขอให้ทางพนักงานสอบสวนได้ทำงานก่อน เพราะจะต้องสอบปากคำอีกหลายปาก เมื่อถามว่า เชื่อในสาเหตุของการเสียชีวิตหรือไม่ นายชัยณรงค์ เปิดเผยว่า เชื่อเพียง 5% ปกติแล้วนายธวัชชัย เป็นคนร่าเริง ไม่เครียด วันที่ตนไปพบ ก็ไม่ได้เครียดอะไร หลังจากที่ห่างกันมาเกือบ 30 ปี จนถึงตอนนี้ ตนต้องขอรอฟังผลการชันสูตรทั้ง 2 ครั้งก่อน ว่าจะมั่นใจได้หรือไม่ หากผลออกมาแล้ว ก็ต้องดูว่ารับได้เพียงใด และรับไม่ได้อย่างไร
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่ศูนย์บริการร่วม กระทรวงยุติธรรม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัยณรงค์ อนุกูล เดินทางเข้ายื่นคำร้องขอผ่าพิสูจน์ศพนายธวัชชัยซ้ำอีกครั้ง โดยนายชัยณรงค์ กล่าวว่า ตนเข้ายื่นหนังสือขอผ่าพิสูจน์ศพอีกครั้ง ตามที่ได้การประสานจากดีเอสไอ ซึ่งการผ่าพิสูจน์มีระเบียบให้ญาติต้องเป็นผู้ทำคำร้อง ส่วนผลการชันสูตรอย่างเป็นทางการจากแพทย์นิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ คาดว่าจะออกมาภายใน 45 วันทำการ หลังผ่าพิสูจน์ ตนเข้าใจว่าเป็นขั้นตอนการทำงาน ทั้งนี้ส่วนตัวยอมรับได้หากจะมีการตั้งคณะกรรมการกลางขึ้นมาตรวจสอบ แต่ต้องการขอเพิ่มแพทย์จากนิติเวชฯ รพ.ตำรวจเข้าร่วมด้วย อย่างไรก็ตามวันนี้ได้ติดต่อขอเข้าดูสถานที่เกิดเหตุและกล้องวงจรปิดกับดีเอสไอ แต่ทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอายัดสถานที่ไว้จึงยังไม่สามารถเข้าไปดูได้
ด้านนายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งครั้งแรกได้ขอให้ญาติระงับการฌาปนกิจไปก่อนและนำศพมาผ่าพิสูจน์เพื่อความโปร่งใสโดยญาติต้องเป็นผู้ดำเนินการ
ขณะที่นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการตั้งคณะกรรมการกลางขึ้นมาตรวจพิสูจน์การเสียชีวิตนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการทาบทามบุคคลภายนอกที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ ดังนั้นต้องรอให้มีการตอบกลับอย่างเป็นทางการก่อนจึงจะมีความชัดเจนมากขึ้น
วันเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัวระบุว่า การตายของนายธวัชชัย อนุกูล อดีตเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพังงา ผู้ต้องหาคดีทุจริตออกโฉนดที่ดินใน จ.พังงาและภูเก็ต ระหว่างการควบคุมของดีเอสไอเป็นเหตุฆาตกรรม โดยมีคนในอีเอสไอเกี่ยวข้องด้วยเพื่อทำลายชื่อเสียงขององค์กรนั้น พล.ต.นพ.เหรียญทอง ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊คส่วนตัวอีกครั้ง โดยระบุว่า “แชร์ให้ทราบทั่วกันว่า หากผมต้องโดน DSI แจ้งความดำเนินคดีอาญา ผมขอความกรุณาอย่าระดมพลไปให้กำลังใจผมนะครับ มันไม่เกิดผลดีต่อผู้บริหารราชการแผ่นดิน ผมต่อสู้ในรูปแบบข้ามาคนเดียวครับ หากผมผิดจริง ผมก็ต้องรับผิดครับ ผมถูกฝึกมาในระบบเกียรติศักดิ์ (HONOUR SYSTEM) ผมเป็นถึงอดีตหัวหน้านักเรียนแพทย์ทหารแล้ว ผมจะไปกลัวที่จะรับผิดไม่ว่าจะอาญาหรือแพ่งไปทำไมกันล่ะครับ มันเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่ผมต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ครับ ถึงแม้ผมจะบริสุทธิ์ใจต่อ DSI ก็ตาม ที่ผ่านมาผมได้รับเกียรติจากมวลมหาประชาชน ได้เกียรติในการปกป้องราชบัลลังก์อันเป็นเกียรติที่สูงสุดในชีวิตของผมแล้ว อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่คดียังไม่ถึงที่สุด ผมจะใช้เวลาจัดการพวกหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของผมต่อไปเรื่อยๆ ครับ...หากต้องติดคุก รับรองว่าคนอย่างผมไม่หนีคุกด้วย ผมไม่ได้โพสต์ดราม่านะครับ และไม่ได้โพสต์เอามันส์ด้วย แล้วก็ไม่ขอร้องขอความเห็นใจ ขอความช่วยเหลือจากใครๆ ทั้งนั้นครับ”
จากนั้นอีก 1 ชั่วโมงต่อมา พล.ต.นพ.เหรียญทองได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวอีกครั้ง พร้อมระบุว่า “ได้โปรดแชร์ให้ทราบทั่วกันว่า หากการโพสต์ข้อความของผมทำให้ DSI หรือเจ้าหน้าที่ DSI คนใด หรือเจ้าหน้าที่ทั้งหมดเสียหายแล้วก็ย่อมเป็นสิทธิของผู้เสียหายในการเป็นโจทก์แจ้งความดำเนินคดีต่อผม ส่วนผมก็ต้องเป็นจำเลยต่อสู้ให้การในชั้นศาลซึ่งเป็นเรืองปกติ ไม่ใช่เรื่องแปลกและไม่ทำให้ผมเสียกำลังใจแต่อย่างใด หากศาลพิพากษาว่าผมผิด ผมก็ต้องรับโทษจำคุกหรือชำระค่าเสียหาย คนอย่างผมไม่หนีโทษ ไม่หนีคุกหรอกครับ ผมถูกฝึกมาในระบอบเกียรติศักดิ์ (HONOUR SYSTEM) ตั้งแต่เป็นนักเรียนทหารแล้ว...ชีวิตของผมประสบความสำเร็จอย่างครบถ้วนน่าจะทุกด้านแล้ว หากต้องรับโทษก็ไม่เห็นว่าจะต้องเป็นเรื่องชอกช้ำระกำใจอะไร ท่านทั้งหลายก็ไม่ต้องสงสาร ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องให้กำลังใจ ไม่ต้องระดมพลปกป้องอะไรผมกันหรอกนะครับ ดีเสียด้วยผมจะได้เป็นตัวอย่างที่ดี ไม่เหมือนกับไอ้พวกหนีคดีแล้วเอามวลชนเป็นเกราะคุ้มกันอย่างกับธัมมชโยก็แล้วกัน...แต่ผมเชื่อมั่นว่าโพสต์ข้อความของผมนั้นมีเจตนาดีต่อ DSI และกระทรวงยุติธรรมจะทำให้กระบวนการยุติธรรมขั้นตอนสุดท้ายที่พิจารณาโดยศาลยุติธรรมภายใต้พระปรมาภิไธยจะให้ความเป็นธรรมแก่ผมเองครับ”
ที่มา www.banmuang.co.th/news/crime/61120